นักวิจัย มทส. ประดิษฐ์เครื่องฆ่ามอดข้าวด้วยคลื่นความถี่สูง ไร้สารเคมี

 

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ประดิษฐ์เครื่องฆ่ามอดข้าวด้วยคลื่นความถี่สูงเป็นผลสำเร็จ เผยเป็นเป็นวิธีการใหม่ที่ยังไม่เคยมีการออกแบบมาก่อน สามารถเดินเครื่องกำจัดมอดในข้าวได้ทั้งข้าวเปลือกและข้าวสารได้มากกว่า 50 ตันต่อวัน เผยอุปกรณ์ทุกชิ้นสามารถผลิตได้ในประเทศและชื่อว่าเป็นช่องทางใหม่ในการใช้กำจัดมอดข้าวแทนการใช้สารเคมี เล็งต่อยอดในอุตสาหกรรมข้าวไทย

 

 

 

นครราชสีมา : วันนี้ (8 สิงหาคม 2556) ศาสตราจารย์ ดร. ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เป็นประธานในการแถลงผลงานวิจัยเรื่อง “เครื่องฆ่ามอดข้าวด้วยคลื่นความถี่สูง”ณ ห้องสารนิเทศ อาคารบริหาร มทส. โดยผลงานดังกล่าวเป็นผลงานวิจัยของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. ชาญชัย ทองโสภา ผู้อำนวยการเทคโนธานี อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมโทรคมนาคม สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มทส. โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) อุปกรณ์ดังกล่าว ได้นำวิธีการให้ความร้อนแบบไดอิเล็กตริกด้วยคลื่นความถี่วิทยุมาใช้ในการฆ่ามอดข้าว ออกแบบให้สะดวกต่อการใช้งาน ซึ่งเป็นวิธีการใหม่ที่ยังไม่เคยมีการออกแบบมาก่อนและยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปลอดการใช้สารเคมี 100 %

        

 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชาญชัย ได้เปิดเผยเพิ่มเติมถึงความเป็นมาและหลักการทำงานของเครื่องฆ่ามอดข้าวด้วยคลื่นความถี่สูง ว่า “ในปัจจุบันวิธีการฆ่ามอดข้าวที่ใช้อยู่จะใช้สารเคมีในการรมเพื่อกำจัด โดยสารที่นิยมใช้มี 2 ชนิด คือ เมทิลโบรไมด์ (Methyl Bromide) และฟอสฟิน (Phosphine) ถึงแม้ว่าเมทิลโบรไมด์จะมีประสิทธิภาพในการฆ่ามอดข้าว แต่มีแนวโน้มถูกให้ยกเลิกจากหลายเหตุผล อาทิ การต้านทานยาของมอดข้าว การตกค้างของสารเคมี และความเป็นพิษของสารเคมีต่อผู้ใช้และผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นตัวการทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศโลก ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันหลายประเทศได้มองหาทางเลือกทดแทนการใช้สารเคมี เช่น การใช้การควบคุมระดับออกซิเจนด้วยก๊าซอื่น ๆ อาทิ ก๊าซไนโตรเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการฉายรังสี เพื่อให้มอดข้าวขาดอากาศตายหรือใช้สมุนไพรอบ เป็นต้น แต่การใช้คลื่นความถี่วิทยุที่ผ่านมาไม่ได้รับการพัฒนาเนื่องมากนักจากอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์มีราคาสูง สิ้นเปลืองพลังงานมากและการออกแบบที่ยุ่งยากซับซ้อน ปัจจุบันอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ได้มีการพัฒนาไปอย่างมาก ทำให้มีความคุ้มค่าทางด้านการลงทุน จากการศึกษาพบว่าการให้ความร้อนแบบไดอิเล็กตริกด้วยคลื่นความถี่ วิทยุนั้น ในอดีตเป็นการให้ความร้อนแก่สารอโลหะต่าง ๆ และจะใช้หลอดกำเนิดคลื่นความถี่ ( Electron Tube ) เป็นตัวสร้างสัญญาณความถี่วิทยุ ซึ่งหลอดกำเนิดคลื่นความถี่นี้มีข้อเสียในหลายด้านทั้งอายุการใช้งานที่ต่ำ สูญเสียกำลังไฟฟ้ามาก มีราคาแพง ยุ่งยากในการใช้งานแตกหักได้ง่าย

 

ในการประดิษฐ์เครื่องฆ่ามอดข้าวดังกล่าวนี้ ได้นำวิธีการให้ความร้อนแบบไดอิเล็กตริกด้วยคลื่นความถี่วิทยุมาใช้ในการออกแบบวงจร สร้างคลื่นความถี่โดยใช้อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์แทนการใช้หลอดกำเนิดคลื่นความถี่ ในการสร้างเครื่องฆ่ามอดข้าวที่ประหยัดกำลังไฟ ออกแบบได้ง่าย อายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดกำเนิดคลื่นความถี่ ขนาดเล็กกะทัดรัด ซึ่งเป็นวิธีการใหม่ที่ยังไม่มีการออกแบบด้วยวิธีการนี้ ทั้งสามารถนำมาทดแทนการใช้สารเคมีในการฆ่ามอดข้าวเหมาะกับอุตสาหกรรมข้าวไทย เป็นทางเลือกในการลดการใช้สารเคมี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปขยายผลต่อยอดในอุตสาหกรรมข้าวไทยได้เป็นอย่างดี การเดินเครื่องฆ่ามอดข้าวด้วยคลื่นความถี่สูง สามารถใช้ได้ทั้งข้าวเปลือกและข้าวสารโดยสามารถทำงานได้มากกว่า 50 ตัน ต่อวัน

 

 

ทั้งนี้มีการออกแบบระบบไซโลการไหลของข้าวร่วมกับ ผศ. ดร.วีรชัย อาจหาญ    รองผู้อำนวยการเทคโนธานี อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเกษตร สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ทั้งนี้ชุดอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถผลิตได้เองในประเทศทุกชิ้น โดยได้ทำการออกแบบวงจรให้สามารถปรับเปลี่ยนค่าความถี่และกำลังงาน ให้เหมาะสมกับคุณลักษณะของมอดข้าวและปริมาณของข้าวที่ไหลผ่านระบบโดยใช้เวลาเพียง 2 วินาที ในการให้ข้าวที่มีมอดข้าวไหลผ่านส่วนของวงจรสร้างสนามคลื่นความถี่สูงของเครื่องฆ่ามอดข้าว สามารถฆ่ามอดข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ทำให้ข้าวเสียหาย รวมถึงเป็นการอบไล่ความชื้นและฆ่าเชื้อราได้อีกด้วย นอกจากนี้เทคนิควิธีการให้ความร้อนแบบไดอิเล็กตริกนั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานให้เกิดประโยชน์ได้ในหลากหลายด้าน เช่น การอบไล่ความชื้นของเนื้อไม้ การอบเพิ่มอุณหภูมิสารอโลหะต่างๆเช่นพลาสติก เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นผลงานในครั้งนี้เป็นผลงานที่ผลิตโดยฝีมือคนไทยเพื่อแก้ปัญหาภาคเกษตรกรรมโดยเฉพาะอาชีพการปลูกข้าวและการส่งออกซึ่งถือว่าเป็นอาชีพหลักของประเทศอย่างแท้จริง

 

 

 

 

 

 

                                                                              

ส่วนประชาสัมพันธ์

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

8 สิงหาคม 2556


 


ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง